
ความยินดี ตอน “ใจฝ่อ”ความยินดี มื้อแรกของการต้อนรับ เต็มไปด้วย บรรยากาศของความยินดี ปรีดา นายหัวสมชายชี้แจงให้ทั้งทีมรู้ถึงโครงสร้างและความเป็นมาเป็นไปของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นทางภาคใต้ที่ท่านเป็นเจ้าของอยู่ หรือที่เราเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “สถานี เคเบิ้ลทีวี”
ความหวังของนายหัวสมชายคือการพัฒนาฟื้นฟูสถานีเคเบิ้ลทีวีแห่งนี้ให้กลับมาดำเนินการได้อย่างมีคุณภาพ และยกระดับให้เป็นสถานีโทรทัศน์ทางภาคใต้ โดยการผลิตรายการต่างๆที่สร้างสรรค์ เหมือนกับ สถานีโทรทัศน์ช่องหลักของประเทศ จนเป็นที่นิยมของคนในจังหวัดนั้นและจังหวัดภาคใต้ใกล้เคียง
สถานีแห่งนี้ออกอากาศ 24 ชม. และทั้งหมดนั่นคือโจทย์ที่ระวีและทีมงานต้องร่วมแรงใจกันบริหารจัดการให้ลุล่วงไปจนสำเร็จ นอกจากเป้าหมายของการทำงานแล้ว นายหัวสมชายได้แจ้งเพิ่มเติมว่า
คืนนี้จะส่งรถเก๋ง opel corsa สีแดง ประจำตำแหน่งมาให้ระวี 1 คัน เพราะเห็นว่าตัวเล็ก และรถโตโยต้า SUV ให้ทีมงานอีกหนึ่งคัน โดยที่ทางสถานีก็มีรถสำหรับให้ทำงานอีกหนึ่งคันด้วย นอกจากนั้นนายหัวสมชายยังแจ้งว่า ให้ทีมงานทุกคนเรียกเขาว่านายหัว ไม่ต้องเรียกท่าน สส.เพราะมันห่างเหิน และยังบอกอีกว่า ให้ทีมงานมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมได้ทุกเช้า ก่อนออกไปทำงาน
โอ้ย ! มันจะดีอะไรกันขนาดนี้นี่ ความยินดี คืนนั้นก่อนเข้านอน ทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านพักของระวีอีกครั้งด้วยความแช่มชื่นกับสวัสดิการได้รับทั้งหมด ต่างคนต่างวิเคราะห์วิจารณ์ในทางบวกบ้าง ลบบ้าง ซึ่งทุกความเห็นล้วนมีเหตุผล เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับไปเพื่อนอนหลับฝันดี และตื่นมากับเข้าวันใหม่ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่า หลังจากพรุ่งนี้ชีวิตของทุกคนจะต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง แต่ช่างเถอะตอนนี้เพลียมากนอนก่อนเหอะ
วันแรกในการทำงานของทีมพิราบขาวพลัดถิ่น ระวีตื่นแต่เช้า เพื่อเสพอากาศบริสุทธิ์ และทิวทัศน์ที่สวยงามริมระเบียงที่ห้องของเธอ เธออาบน้ำแต่งตัวพร้อมที่จะเดินทางไปสถานีโทรทัศน์แล้ว เช้าวันนี้ ทะนงจะมานำทางพาไปยังสถานี มองออกไปนอกรั้วบ้านก็เห็น รถopel สีแดง จอดรถอยู่ พร้อมกับรถ SUV คันใหญ่สีดำอีกหนึ่งคันของทีมงาน ตามที่นายหัวสมชายบอกไว้
ไม่ถึงสิบนาที ทะนงก็มาถึงบ้านพัก วันนี้เขาขับมอเตอร์ไซด์มา ทะนงยื่นกุญแจรถทั้งสองคันให้กับระวี และแจ้งว่า เติมน้ำมันเต็มถังแล้วทั้งสองคัน ทีมงานทั้งหมดต่างแยกย้ายขึ้นรถและมุ่งหน้าไปรับปะทานอาหารเช้าที่โรงแรมก่อนจะเดินทางไปที่ทำงาน โดยการนำทางของทะนง
เสร็จจากอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว ทีมงานก็มุ่งสู่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นโดยมีทะนงขับมอเตอร์ไซด์นำทาง
เมื่อรถเลี้ยวเข้ารั้วของสถานีโทรทัศน์ ความผิดหวังแรกที่ทีมงานต่างรู้สึกคือ เหมือนสถานที่แห่งนี้ ไม่มีใครมาดูแลนานแสนนาน ต้นหญ้าขึ้นรถปกคลุมตามจุดต่างๆ รอบๆอาคาร แถมยังมีเวทีมวยตั้งอยู่ในสถานีอีกด้วย ว้าว ! ที่นี่มีการต่อยมวยด้วยหรือนี่?
ระวีเดินดูรอบๆ แล้วเธอก็พบว่า พระภูมิเจ้าที่ของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าสูงจนแทบจะมองไม่เห็น เอ แล้วจะมีใครสักคนให้เธอและทีมงานทักทายแนะนำตัวไหมนี่
ทะนองรีบกลับไปแล้ว เหมือนจะไม่อยากอยู่พบหน้าคนที่ทำงานอยู่ที่นี
ระวีพาทีมงานทั้งหมดเข้าสู่ตัวอาคาร เพื่อหวังจะพบใครสักคน และ ดูสถานที่ทำงานอย่างละเอียด
ภายในตัวอาคารเงียบสนิท เหมือนร้างผู้คน ไม่มีความมีชีวิตชีวาของสถานที่แห่งนี้ให้สัมผัสได้เลยสักนิด
ระวีชะโงกหน้า เข้าไปดูห้องๆหนึ่งที่น่าจะเป็นห้องออกอากาศ เพราะเธอเห็นเงาตะคุ่มๆหลังกระจกบานนั้น
“สวัสดีค่ะ เธอกล่าวทักทาย เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่หน้าผังสวิทซ์ บอร์ดออกอากาศขนาดใหญ่ ด้วยรอบยิ้ม
“หวัดดีครับ พวกคุณเป็นทีมมาจากกรุงเทพกันใช่ไหม ? ชายหนุ่มคนนั้นทักตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตร”
“ ใช่คะ ไม่ทราบว่าใครเป็นหัวหน้าดูแลที่นี่คะ ระวีจะได้ไปพบและขออนุญาตขอคำแนะนำค่ะ”
“หัวหน้าเหรอ ที่นี่ไม่มีหรอก ที่มีมีแต่คนทำงานตามหน้าที่ไม่มีใครใหญ่กว่าใครทั้งนั้น” อีกครั้งที่เขาตอบอย่างไม่มีหางเสียงและแสดงความไม่พอใจในน้ำเสียงอย่างชัดเจน
“ เราชื่อระวีนะ เป็นหัวหน้าทีมงานที่มาพร้อมกัน 11 คน ค่ะ ขอโทษค่ะ คุณชื่ออะไรค่ะ ? ระวีทำใจดีสู้เสือ เค้าว่ากันว่าคนใต้ดุ ดุจริงๆแฮะ
“ ผมชื่อสิงห์ ทำหน้าที่คุมการออกอากาศ สลับเข้ากะกับไอ้แสน อีกคน ตอนนี้มันเพิ่งกลับไปนอน ผมมาเข้าเวรต่อ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะสิงห์ แล้วนี่นอกจากสิงห์มีใครคนอื่นที่กำลังทำงานอยู่ไหมคะ?”
“มี อยู่ข้างหลังโน้น ห้องการเงิน ธุรการ เป็นผู้หญิง 2 คนพี่น้อง ชื่อ พวงกับ เพ็ญ “ น้ำเสียงของสิงห์ค่อยดีขึ้น เมื่อระวียังคงยิ้มให้ และพูดกับเขาดีๆเหมือนเดิมตลอด
“งั้นพวกเรา ไปห้องธุรการการเงินแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่กันดีกว่า” แล้วระวีก็พาทีมงานทั้งทีมเคลื่อนย้ายไปยังห้องการเงินทางด้านหลัง
ห้องการเงินมีขนาดที่ไม่ใหญ่นัก อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สองตัวตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานติดกัน แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่า สายตาของหญิงสาวสองคนที่จ้องมองมายังเธอและทีมงานอย่างไร้ความเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ คุณเพ็ญและคุณพวง ใช่ไหมคะ เห็นสิงห์บอกมาค่ะ เราชื่อระวีนะคะ” “ไอ้สิงห์ เสือกสาระแหนนักนะมึง” เสียงสบถด่าสิงห์อย่างไม่เกรงใจของผู้ที่เป็นผู้ใหญ่กว่าซึ่งก็คงเป็นคุณเพ็ญ ดังขึ้นอย่างไม่กลัวเราจะได้ยิน
“ใช่คะ ฉันชื่อเพ็ญ ดูแลเรื่องการเงิน ส่วนนั่น นังพวงเป็นธุรการ “
ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เพ็ญรีบรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
“ ค่ะนายหัว ได้ค่ะนายหัว ไม่ต้องห่วงค่ะนายหัว เดี้ยวเพ็ญจะดูแลทีมงานของคุณระวีอย่างดีที่สุดเลยค่ะ” เสียงของเพ็ญแม้จะใช้สำเนียงใต้ แต่ก็ดูสุภาพ อ่อนหวานแตกต่างกับที่พูดกับระวีเอย่างชัดเจน
“ เอาล่ะ คุณระวี ใช่ไหมคะ ? เดี้ยวเพ็ญจะพาคุณและทีมงานเดินดูสถานที่ทำงานในส่วนต่างๆเองนะคะ ทุกๆท่านเดินทางตามเพ็ญมาแล้วกันนะคะ ชินค่ะ แนะนำมาบ่อยแล้ว มากี่ทีมกี่ทีมก็หายไปหมด” เพ็ญพูดอย่างสนุกปากโดยที่หางตา เหลือบมองมาทางระวีและทีมงาน
เพ็ญพาพวกเธอไปดูห้องออกอากาศที่ได้พบกับสิงห์ ห้องออกอากาศสด ห้องตัดต่อ และห้องเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในสตูดิโอ และอุปกรณ์ในการถ่ายทำ ห้องทำฉาก จนครบ ระวีจดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ได้จากเพ็ญไว้เป็นพื้นฐาน เพราะยังต้องมีคำถามอีกมากมายที่ต้องซักถามก่อนที่จะเริ่มงาน มันไม่ใชเรื่องง่ายๆเสียแล้ว ระวีถอนหายใจจนเสียงดัง จนรูมแมทสองโลกสังเกตเห็น จึงเดินมาจับมือระวีบีบเบาๆ ไม่ต้องห่วงอีเจ้ เดี้ยวพวกเราจะช่วยกันพลิกที่รกร้างนี้ให้มีชีวิตชีวาด้วยกันนะอีเจ้”
ระวียิ้มให้กับความเอาใจใส่ของหนูเท่ง แล้วหันไปขอบคุณเพ็ญที่ช่วยพาเดินดูสถานที่ต่างๆ ระวีชวนเพ็ญไปกินข้าวเที่ยงร่วมกับทีมงาน แต่เธอปฏิเสธ เพราะเตรียมอาหารเที่ยงมากินกับน้องสาวเรียบร้อยแล้ว
บรรยากาศการกินอาหารเที่ยงของทีมงานในมื้อเที่ยงดูต่างจากมื้อเช้าอย่างสิ้นเชิง ทุกคนมีสีหน้าวิตกกังวลกับสภาพของสถานที่ทำงาน และมิตรภาพของคนทำงานชุดเก่า ทุกอย่างต้องถูกสะสาง แต่กระทั่งทัศนียภาพของที่ทำงานที่รกรุงรัง จนเหมือนสถานที่ร้าง แค่ทำเรื่องปรับภูมิทัศน์พวกนี้ก็ใช้เวลาร่วมเดือนแล้ว
ระวีรับฟังปัญหาต่างๆที่ทีมงานพร่างพรูออกมาและจดเป็นหัวข้อ แล้วเธอก็บอกให้ทุกคนรีบทานข้าวให้อิ่ม จะได้กลับไปเพื่อเช็คดู อุปกรณ์ถ่ายภาพ ห้องตัดต่อ ไมโครโฟนติดเสื้อ และอื่นๆอีกว่ายังสามารถใช้การได้หรือไม่ ?
ติดตามอ่านตอนที่ 3 ตอน “มิตรภาพของพิราบขาว กับแสงเงาแห่งความหายนะ”